วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บ้านสุขาวดี


บ้านสุขาวดี  ตั้งอยู่ก่อนถึงพัทยาไม่ไกลนัก ทางฝั่งขวามือ ฝั่งเดียวกับทะเล เป็นคฤหาสน์ที่สุดแสนอลังการและ มีสีสันสดใสงดงาม สามารถมองเห็นบ้านหลังนี้ได้อย่างชัดเจนมาแต่ไกลเพราะตั้งอยู่ริมถนน สุขุมวิท อยู่ช่วง บางละมุงหลักกิโลเมตร ที่ 140 - 141  บ้านเลขที่ 219 หมู่ 2 บ้านสุขาวดีเป็นบ้านของ    ดร. ปัญญา  โชติเทวัญ เจ้าของบ้านหลังนี้คือ เจ้าของธุรกิจสหฟาร์มเป็นผู้ส่งออกผลิตผลทางการเกษตรรายใหญ่ของไทย ตั้งอยู่ที่มีพื้นที่ กว่า 80 ไร่ บ้านสุขาวดี เกิดขึ้นมาจากพลังความคิด และความศรัทธาอันแรงกล้าของเจ้าของบ้าน และทีมงาน จากวิกฤตทางเศรษฐกิจ ต่างชาติได้ยึดกิจการของคนไทย เพื่อให้เห็นว่าคนไทยมีศักยภาพไม่แพ้ต่างชาติ ทำให้ เกิดปาฏิหาริย์สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของคนไทยบ้านสุขาวดี จึงได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 2543 บน เนื้อที่ 12 ไร่ ติดถนนสุขุมวิท หลักกิโลเมตรที่ 129 ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางละมุง ประมาณ 1 กิโลเมตร มีชาย หาดยาว 400 เมตรปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 80ไร่


บ้านสุขาวดี แปลว่า ดี ขาวดี สีของบ้าน เป็นสีชมพูและ ฟ้า สีชมพูเป็นสีแห่งความรัก ดั่งที่ว่า ที่ใดไร้รักสมัคร สมานจะทำการสิ่งใดย่อมไร้ผลฉะนั้นที่ใดก็ตามที่มีความรัก ความสามัคคี มีความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันที่นั่นเขาจะคุยกันแต่เรื่องดีๆ คุยสิ่งสร้างสรรทั้งสิ้น เราก็สามารถฟันธงได้เลยว่า ที่นั่นคือที่ที่ดี ที่เจริญรุ่งเรือง เราจึงใช้คิวปิดหรือ เทพเจ้าแห่งความรักเป็นสัญลักษณ์ ส่วนสีฟ้าถือเป็นสีแห่งน้ำ น้ำเป็น สิ่งก่อเกิดสิ่งมีชีวิต ทั้งหลาย ในโลกแต่น้ำเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องศึกษาน้ำ เพราะน้ำ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกสถานะ ถ้าคนเราปรับตัวเข้ากับสังคม ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจหรือความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เราย่อมมีความสุข แต่น้ำที่ ทุกคนต้องการเหมือนๆกันกลับกลายเป็น น้ำใจ


ภายในบริเวณบ้านประกอบด้วย อาคารหลัก

1.อาคารประชาสัมพันธ์
เป็นที่ตั้งกองอำนวยการสำนักงานผู้บริหารโครงการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และจุดขาย บัตร เข้าชมภายในบ้านสุขาวดี
2.
อาคารโดมพระ
เป็นอาคารทรงโดมประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ เป็นพระประธานบ้านสุขาวดี ภายในบริเวณอาคารโดมพระ ประดับด้วยภาพ และประวัติพระอริยะสงฆ์
3.
อาคารเจ้าแม่กวนอิม
เป็นอาคาร 5 ชั้น แต่ละชั้นจัดเป็นห้องรับรอง และห้องประชุมขนาดใหญ่ประดับด้วย ภาพวาดงดงามหลากหลาย บนดาดฟ้าสูงสุดเป็นโดมทรงกลมประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งงดงามอลังการด้วย เครื่องประดับและเครื่องบูชา อัน สูงค่า ภายในโดมแห่งนี้ประดับด้วยรูปปั้นอันแสดงถึงปรัชญา และปริศนาธรรม มากมาย อาทิ พระสังกัจจายน์ กับเด็กเป่าแตร ม้า 18 ตัว แม่ไก่กับลูกไก่ ฯ เป็นต้น
4.
อาคารครัวของโลก
เป็นอาคารที่มีห้องประชุมใหญ่สามารถจุคนได้ถึง 2,500 คน ใช้แรงงานคนในการก่อสร้างถึง 2,700 คน สร้าง เสร็จในเวลาเพียง 30 วัน ภายในอาคารครัวของโลกประกอบด้วยสัญลักษณ์ของเกษตรกรไทยมากมาย เช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ และปรัชญาแนวทางการบริหารการปกครอง
5.
อาคารแปดเหลี่ยม เป็นศูนย์อาหาร - เครื่องดื่ม และเป็นแหล่งรวมของสินค้าของฝาก ของทะเล จากชายทะเล ตะวันออก และสินค้าคุณภาพภายใต้เครื่องหมาย “HEALTH FOOD” ของสหฟาร์ม เพื่อให้เลือกซื้อ กลับบ้าน ทั่วบริเวณ บ้านยังตกแต่งด้วยสวนอันสวยงาม สระน้ำ พระบรมรูปสมเด็จพระปิยะมหาราช พระรูปกรมหลวงชุมพร เทวดาประจำตระกูลโชติเทวัญ
6.
อาคารไอริสโซเฟีย เป็นอาคารแห่งสุขภาพ - ความสวยความงาม และสินค้า O-TOP ระดับ 4 - 5 ดาวทั่ว ประเทศ ได้นำมารวบรวมไว้ที่อาคารแห่งนี้เพื่อให้ท่านสามารถเลือกซื้อหาได้ตามความพอใจ


         



 

















รายละเอียด
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามเวลาดังนี้
วันธรรมดา 8.30 – 18.00 น.
วันหยุดนักขัตฤกษ์ 8.00 – 18.00 น.
โดยในวันจันทร์ - ศุกร์ จะชมได้แต่ภายนอกเข้าในตัวอาคารไม่ได้แต่ในวัน เสาร์ - อาทิตย์สามารถเข้าชมชั้น
1
และ ชั้นบนสุดเพื่อไหว้เจ้าแม่กวนอิมได้
อัตราค่าเข้าชม
ชาวต่างประเทศ 300 บาท
ผู้ใหญ่ บุคคลทั่วไป 200 บาท
เยาวชน นักเรียน นักศึกษา 50 บาท (นักบวช พระภิกษุสงฆ์ และเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 100 เซนติเมตร ไม่เสีย ค่าผ่านประตู)
หมายเหตุ
-
ลูกค้าที่มีความประสงค์จะมารับประทานอาหาร และซื้อสินค้าในส่วนอาคารแปดเหลี่ยม (อาคารสหฟาร์ม)โดยไม่ เข้า ชมภายในบริเวณบ้าน ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชม
-
สำหรับกรุ๊ปทัวร์กรุณาติดต่อนำชม และสั่งจองอาหารล่วงหน้า ประมาณ 3 วัน
-
ในระยะโปรโมชั่นแถมไก่ทอด สหฟาร์มแก่ผู้ซื้อบัตรเข้าชมทุกท่าน
ติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ทางโทรศัพท์หมายเลข
01-572-4067, 09-813-2971, 038-223454
เว็บไซต์ http://www.sukhawadee.net

เครื่องจักรสาน


กำเนิดและวิวัฒนาการของเครื่องจักสาน
          มนุษย์คิดทำเครื่องจักสานมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอน แต่ได้พบร่องรอยของเครื่องจักสานบนเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า มนุษย์อาจจะสามารถทำเครื่องจักสานได้ก่อนสมัยก่อนประวัติศาสตร์และยังทำต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ดังปรากฏรอยภาชนะจักสานบนผิวภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง จากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียงอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นภาชนะเล็กๆ ปากกลมก้นสี่เหลี่ยม (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร)และภาชนะดินเผาทรงกระบอกเล็กๆ อีกชิ้นหนึ่งจากแหล่งโบราณคดีในจังหวัดลพบุรี (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์จังหวัดลพบุรี) ภาชนะดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งสองชิ้นดังกล่าว มีรอยของภาชนะจักสานลายขัดปรากฏบนผิวด้านนอกของภาชนะดินเผา จึงสันนิษฐานว่า ทำขึ้นโดยใช้ดินเหนียวยาไล้ลงไปในภาชนะจักสาน เมื่อดินแข็งและแห้งแล้วจึงนำไปเผาไฟ ไฟจะไหม้ภาชนะจักสานซึ่งเป็นแม่แบบหมด เหลือดินเผาที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภาชนะจักสานซึ่งเป็นแม่แบบ จึงปรากฏรอยสานที่ผิวด้านนอกตามลวดลายต้นแบบ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตรดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญที่อาจสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยรู้จักทำเครื่องจักสานมาก่อนการทำเครื่องปั้นดินเผา และการทำเครื่องปั้นดินเผายุคแรก อาจจะทำโดยการใช้ดินเหนียวยาไล้ลงในแม่แบบ (pressing mould)ทิ้งไว้ให้ดินแห้งแล้วจึงนำไปเผา ซึ่งเป็นกรรมวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผายุคเริ่มแรก ก่อนที่จะทำเครื่องปั้นดินเผาด้วยการตีด้วยไม้และหินดุ และการปั้นโดยใช้แป้นหมุนในยุคต่อมา
           สิ่งที่ใช้เป็นแม่แบบ (mould) ในการทำเครื่องปั้นดินเผาครั้งแรกๆ อาจจะเป็นแปลือกผลไม้เช่น เปลือกน้ำเต้าหรือเปลือกผลไม้ชนิดอื่น ก่อนที่จะใช้ภาชนะจักสานเป็นแม่แบบ แต่การทำภาชนะดินเผาที่ทำขึ้นด้วยวิธีนี้ จะมีรูปทรงจำกัดตามสิ่งที่นำมาเป็นแม่แบบเท่านั้น ร่องรอยของเครื่องจักสานที่ปรากฏบนผิวภาชนะดินเผานั้นอาจสันนิษฐานได้ว่า การทำเครื่องจักสานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ใช้วัตถุดิบที่แปรรูปด้วยเครื่องโลหะ เช่น มีด พร้า จักหรือเหลาวัตถุดิบให้เป็น เส้น ตอก มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะใช้ทำเครื่องจักสานแต่ละชนิด อาจนำหวายหรือไม้ไผ่มาจักเป็นเส้นก่อนที่จะนำมาสานเป็นภาชนะ แทนที่จะใช้ใบไม้เถาวัลย์ มาสานเป็นภาชนะโดยตรง เพราะร่องรอยของเครื่องจักสานที่ปรากฏบนภาชนะดินเผานั้นแสดงว่า เป็นภาชนะจักสานที่สานด้วยตอกที่จักเป็นเส้นอย่างที่ใช้สานเครื่องจักสานในปัจจุบัน
           การแปรรูปวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องจักสานเป็นพัฒนาการสำคัญในการทำเครื่องจักสานเพราะการใช้วัสดุที่เป็นเส้นเล็ก เช่น ตอก หวาย ย่านลิเภา ทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องจักสานให้มีรูปทรงตามต้องการ และมีความประณีตงดงามยิ่งขึ้น
           การทำเครื่องจักสานบางชนิดในบางท้องถิ่นช่างจักสานจะสานภาชนะหรือใช้ไม้ทำเป็นแบบให้มีรูปทรงตามความต้องการก่อน แล้วจึงสานทับแม่แบบอีกทีหนึ่ง เพื่อให้ได้เครื่องจักสานที่มีรูปร่างและขนาดที่เหมือนๆ กันเป็นจำนวนมากเช่น การสานกระบุงบางท้องถิ่นในจังหวัดแพร่ช่างจักสานจะสานกระบุงแม่แบบหรือต้นแบบก่อนแล้วจึงสานกระบุงที่ต้องการตามแม่แบบที่สานไว้หรือการสานหมวกหรือกุบในภาคเหนือ ซึ่งช่างจักสานมักใช้ไม้กลึงเป็นรูปหมวกมาเป็นแม่แบบแล้วสานโครงหมวกตามแม่แบบที่เป็นไม้นั้น จากนั้นจึงบุด้วยใบลานหรือใบตาลอีกชั้นหนึ่ง วิธีนี้จะทำให้ได้หมวกที่มีรูปร่างเหมือนกันและมีขนาดเท่าๆ กัน นอกจากนี้ก็มีการสานครุหรือแอ่วสำหรับตีข้าวของภาคเหนือ ซึ่งเป็นเครื่องจักสานขนาดใหญ่ที่ใช้ตอกขนาดใหญ่ ช่างจักสานจึงต้องขุดดินเป็นหลุมเป็นแม่แบบ แล้วลงไปสานในหลุมที่เป็นแม่แบบนั้น โดยมีหลุมดินเป็นแม่แบบบังคับให้เครื่องจักสานมีรูปทรงตามต้องการ การสานเครื่องจักสานโดยใช้แม่แบบนี้ ช่วยให้ได้เครื่องจักสานที่มีรูปร่างเหมือนๆ กันเป็นจำนวนมากหรือใช้สานเครื่องจักสานที่มีรูปทรงแปลกๆ จึงต้องใช้แม่แบบ เช่น การสานแจกัน การสานเป็นรูปสัตว์ในประเทศจีน ซึ่งใช้ตอกสานหุ้มทับแจกันดินเผาหรือเครื่องปั้นดินเผารูปสัตว์ ทำให้ได้เครื่องจักสานที่มีรูปทรงตามแม่แบบนั้นๆ
           ดังกล่าวแล้วจะเห็นว่า การทำเครื่องจักสานเป็นหัตถกรรมสำคัญยิ่งประเภทหนึ่งในสังคมเกษตรกรรม เพราะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผู้ใช้สามารถสานขึ้นใช้เองจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นการสร้างรูปทรงและกรรมวิธีในการทำเครื่องจักสานยุคแรกๆ ของมนุษย์ โดยทั่วไปจะไม่แตกต่างกันนัก ตั้งแต่การนำใบไม้ เถาวัลย์ มาสานเป็นภาชนะ สานเป็นเสื่อหรือเครื่องรองนั่งปูนอนการนำใบมะพร้าว ใบลาน ใบตาล และเถาวัลย์มาสานเป็นภาชนะอย่างหยาบๆ สำหรับใส่สิ่งของซึ่งทำกันทั่วไป
          กรรมวิธีในการทำเครื่องจักสานนั้นอาจจะเริ่มจากการสานอย่างง่ายๆ แล้วพัฒนาเป็นการจักสานที่ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งรูปแบบและกรรมวิธีซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป






ประติมากรรมกระดาษ


                จากวัสดุง่ายๆ ราคาถูกและหาได้ทั่วไปอย่างกระดาษ เมื่อบวกกับทักษะและความคิดสร้างสรรค์ ก็ทำให้เกิดงานศิลปะใกล้ตัวที่งดงามอย่างน่าทึ่ง ลองมาดูตัวอย่างประติมากรรมกระดาษจากศิลปินทั่วโลก
นักวาดรูปประกอบชาวอังกฤษ เฮเลน มัซเซิลไวท์ ใช้เพียงกรรไกรและกระดาษหลากสีในการสร้างสรรค์ประติมากรรมกระดาษที่ละเอียดอ่อนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เฮเลนเนรมิตโลกจินตนาการจากกระดาษในหัวข้อต่างๆ ตั้งแต่ความรัก หัวใจ และความฝัน จนถึงสุนัข นก สัตว์ป่า เธอต้องการเก็บความประทับใจรอบๆ ตัวไว้ในประดิษฐ์กรรมที่ซับซ้อนและบอบบาง ซึ่งน่าจะเป็นของขวัญทรงคุณค่าสำหรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
ยูเลีย บร็อดสกายา เกิดในรัสเซียและทำงานด้านศิลปะตกแต่งสำนักงานในกรุงมอสโคว์ เธอย้ายไปกรุงลอนดอนเพื่อศึกษาต่อปริญญาโทด้านการสื่อสารด้วยกราฟฟิกและทำงานเป็นนักออกแบบอิสระทั้งในฐานะกราฟฟิกดีไซเนอร์ นักออกแบบตัวอักษร และประติมากรกระดาษ ผลงานของยูเลียถูกนำไปใช้ทั้งในเชิงพาณิชย์และเป็นงานสะสมส่วนตัว
ประติมากรรมกระดาษของศิลปินจากเดนมาร์ค ปีเตอร์ คาลเลเซน มีตั้งแต่ชิ้นงานเล็กๆ ที่เรียบง่าย ใช้เพียงกระดาษขาวขนาด A4 ตัดกรีดเป็นลวดลาย เล่นกับแสงและเงา จนถึงชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนจนน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งหลักแหลม ทำให้ผลงานทุกชิ้นของเขาสะท้อนความงดงาม ความแปลกประหลาด และความหม่นเศร้าของชีวิต ทั้งยังแฝงเร้นเรื่องราวและแง่มุมที่ชวนคิดได้อย่างทรงพลัง
ปีเตอร์พูดถึงประติมากรรมกระดาษของเขาไว้ว่า ผมคิดว่ากระดาษ A4 เป็นวัสดุที่น่าสนใจเพราะเป็นกระดาษที่ใช้กันมากที่สุด เป็นสื่อที่ใช้สื่อข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน เรามักจะสนใจแต่ข้อมูล จนมองข้ามตัวกระดาษไป การใช้กระดาษเปล่า A4 สีขาวขนาด 80 แกรมทำให้ผมรู้สึกว่าได้พบวัสดุที่เราทุกคนคุ้นเคย แต่ก็ว่างเปล่าและเป็นกลาง จึงง่ายที่ใส่ความหมายต่างๆ เข้าไป ความบางของกระดาษยังช่วยให้ประติมากรรมมีความเปราะบาง ซึ่งตอกย้ำความเศร้าหมองและความโรแมนติกของชิ้นงานอีกด้วย

ดูผลงานน่าทึ่งเหล่านี้แล้ว ลองคว้ากรรไกรและกระดาษเหลือใช้ใกล้ๆ มือมาแสดงฝีมือกันบ้างก็น่าสนุกดี ประติมากรกระดาษระดับโลกคนต่อไปอาจเป็นคนไทยบ้างก็ได้


ที่มา  http://www.tcdc.or.th/articles.php?lang=en&act=view&id=92

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สถานที่ท่องเที่ยว อ.แม่ริม

น้ำตกแม่สา

วนอุทยานน้ำน้ำตกแม่สา อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนในแนวเทือกเขาถนนธงไชย ที่สืบเนื่องต่อจากเทือกเขาหิมาลัยความสูงของพื้นที่อยู่ระหว่าง 330-1,685 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาโดยทั่วไปประกอบไปด้วยหินอัคนี (igneous rock) ชนิดที่สำคัญได้แก่ หินแกรนิต (granite) นอกจากนี้ยังมีหินชั้น (sedimentary rock) และหินแปร (metamorphic rock) ซึ่งในบริเวณน้ำน้ำตกแม่สาจะพบหินชนิดนี้มาก

น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของอำเภอแม่ริม เป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานน้ำตกแม่สา นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เพราะอยู่ไม่ไกลตัวเมือง เป็นน้ำตกขนาดกลางที่สวยงามและมีน้ำไหลตลอดปี แบ่งออกเป็นชั้นๆ ขึ้นไปตามเชิงเขาถึง 8 ชั้น ชั้นที่สวยที่สุด คือชั้นที่ 5-7 ความสูงชั้นละประมาณ 6-8 เมตร สามารถขึ้นไปชมได้สะดวก และบรรยากาศร่มรื่น เพราะมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้สภาพอากาศร่มรื่นเย็นสบายตลอดปี เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ในเส้นทางเดียวกันกับน้ำตกแม่สานี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแหล่ง เช่น แม่สารีสอร์ท ฟาร์มผีเสื้อแม่สา การแสดงช้างที่ปางช้างแม่สา ซึ่งจะมีการแสดงช้างให้ชมทุกวัน และแม่สาวาเลย์ ซึ่งแต่ละแห่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป
สถานที่ติดต่อ  ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย  053-210244
(ที่มา : http://www.teawchiangmai.com/chiangmaiboard/index.php?topic=1793.0)



ปางช้างแม่สา

"ปางช้างแม่สา" ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก ใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองมาถึงปางช้างภายในเวลาประมาณ 20 นาที โดยคุณสามารถสัมผัสได้กับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ตลอดสองข้างทางไปจนถึงปางช้างแม่สาเลยครับ

จากประสบการณ์ที่มากกว่า 30 ปี และจำนวนช้างที่มีกว่า 70 เชือกที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูอย่างดี เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าปางช้างแม่สาแห่งนี้ กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญในด้าน การดูแลช้าง การสืบพันธุ์ช้าง รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

              หาก มองย้อนกลับไปเมื่อช่วงหลายทศวรรษที่แล้ว เราคงจะคุ้นเคยกับภาพของการใช้ช้างในงานอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นส่วนมากในเขต ป่าของพื้นที่ภาคเหนือ แต่เนื่องด้วยการตระหนักถึงคุณค่าในความฉลาดและความสามารถที่มีมากของช้าง แล้ว "คุณชูชาติ กัลมาพิจิตร" จึงได้ก่อตั้งปางช้างแม่สาขึ้นในพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ติดกับลำน้ำ แม่สาในเขตหุบเขาแม่สาเมื่อปี พ.ศ. 2519 นับตั้งแต่นั้น คุณชูชาติได้ทำการซื้อช้างจากที่ต่างๆ มาเพื่อทำการฝึกและพัฒนาทักษะต่างๆ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความสามารถของช้างเหล่านี้ให้แก่ นักท่องเที่ยวผู้ที่หลงเสน่ห์ในความน่ารักของช้างและหวังว่านักท่องเที่ยว ที่มาเยือนจะเกิดความรักและตระหนักในคุณค่าของช้างไทย

ปางช้างแม่สาเป็นปางช้างแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐาน ISO 9001 version 2008 เนื่องจากมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอปางช้างยุคใหม่ที่นักท่องเที่ยวสามารถ สัมผัสได้ถึงการดูแลเอาใจใส่ที่ดีต่อช้างทุกเชือกและมีความมั่นใจว่าช้างทุก เชือกอยู่อย่างอิ่มท้องและมีความสุข  พร้อมทั้งยังมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความสามารถและความฉลาดของช้างไทยรวมทั้งส่งเสริมให้บุคคลทั่วไปตระหนักถึงความสามารถของช้างไทย

คุณชูชาติยังได้ก่อตั้งโครงการส่งเสริมสืบสานสายพันธุ์ช้างไทยขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนประชากรช้างไทย และอนุรักษ์ช้างไทย  โดยช้างที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงจะถูกคัดเลือกให้ทำการสืบพันธุ์เพื่อให้กำเนิดสมาชิกใหม่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

(ที่มา : http://www.holidaythai.com/chiang_mai_attractions_detail_609.htm)



สวนพฤกษ์ศาสตร์สิริกิติ์

            สวนพฤกษ์ศาสตร์สิริกิติ์ เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี  ตั้งอยู่ตำบลแม่แรม  จัดเป็นสถาบันทางวิชาการ  ที่มีองค์ประกอบสำคัญหลายประการรวมอยู่ด้วยกัน  ที่เป็นลักษณะเด่นได้แก่  การมีพรรณไม้หลากหลายนานาชนิด  ทั้งพืชเดิมและพืชต่างถิ่นที่ทราบชื่อและที่มาแน่นอนนำมาจัดปลูกร่วมกัน อย่างเป็นระบบในพื้นที่ขนาดใหญ่  มีการให้ชื่อถูกต้องจัดเป็นศูนย์กลางทางวิชาการด้านพืช  ทั้งการอนุรักษ์และขยายพันธ์ศูนย์การวิจัยค้นคว้า  ศูนย์พัฒนาบุคลากร   ศูนย์รวมข้อมูลเอกสารอ้างอิงและสิ่งพิมพ์เผยแพร่  เป็นสถานที่ให้การศึกษาภาคสนามและพัฒนางานด้านพฤกษศาสตร์  ตลอดจนให้การพักผ่อนหย่อนใจ  ความสุนทรีย์และสันทนาการแก่ประชาชนทั่วไป

สวนพฤกษศาสตร์ได้จัดตั้งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยมีสวนพฤกษศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบแท้จริงเป็นศูนย์รวมพรรณไม้ ไทยที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการด้านพืช  ทำหน้าที่เป็นศูนย์ศึกษา  ค้นคว้า  วิจัย  อนุรักษ์  ผลิตบุคลากรและให้บริการด้านพฤกษศาสตร์ของประเทศโดยเฉพาะเป็นสถานที่เผยแพร่ ความสวยงาม  และคุณค่าของพรรณพฤกษชาติไทย  ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วโลก

เป็นศูนย์รวมพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศ   โดยเฉพาะพรรณไม้ไทยรวมถึงพรรณไม้ต่างประเทศ  ที่มีการตรวจสอบชื่อถูกต้อง  นำมาจัดปลูกให้สวยงาม  ร่มรื่น   เป็นหมวดหมู่อย่างสอดคล้องผสมผสาน  มีการจัดติดป้ายชื่อบอกถึงที่มีและประโยชน์ต่าง ๆ  ชัดเจน

เป็นศูนย์อนุรักษ์และขยายพรรณพืช โดยเฉพาะไม้ประจำถิ่น   ไม้หายาก   กล้วยไม้  และพืชสมุนไพร  ตลอดจนไม้มีค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ  ฯลฯ  โดยดำเนินการขยายพันธุ์ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น   เพื่อให้คงอยู่และเพื่อการศึกษาวิจัยในอนาคต

เป็นสถาบันทางการศึกษาและวิจัยด้านพฤกษศาสตร์ ดำเนินการผลิตนักผลิตนักพฤกษศาสตร์ระดับสูงสาขาที่ขาดแคลนให้กับประเทศตลอด จนการพัฒนาบุคลากร  โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ   จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มหิดล  นเรศวร  รามคำแหง   ขอนแก่น  สงขลานครินทร์  และ  ราชภัฎ  โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น  ได้แก่  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  แม่โจ้   พายัพ  และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง   ทำการวิจัยขั้นสูงร่วมกับสถาบันในประเทศ  อาทิ  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยี  ชีวภาพแห่งชาติ  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
เป็นศูนย์รวมตัวอย่างพรรณไม้แห้ง ที่เก็บหาจากทั่วประเทศ  โดยเฉพาะพรรณไม้ในภาคเหนือ  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีการตรวจสอบรายชื่อพันธุ์ไม้  ให้ชื่อถูกต้อง  และบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลของประเทศ

เป็นศูนย์ข้อมูลด้านพืช ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศและของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ประกอบด้วยศูนย์ห้องสมุดทางพฤกษศาสตร์และศูนย์รวมข้อมูลพืชระบบคอมพิวเตอร์  รวมถึงเอกสารด้านพฤกษศาสตร์และพันธุกรรมพืชอันมีขอบเขตครอบคลุมถึงชนิดพืชต่าง ๆ  โดยเฉพาะที่มีอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสถานที่ศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจในธรรมชาติ ทางด้านความหลากหลายของพรรณพืชและภูมิทัศน์   ตลอดจนการสันทนาการให้ความเพลิดเพลินและความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมโดยเฉพาะทางด้านพืช เป็นแหล่งปลูกฝังเยาวชน โน้มน้าว   กล่อมเกลาจิตใจ   ให้ความรู้  ให้หวงแหนและตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติด้านพืช   อันจะเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ

(ที่มา : http://maeram.go.th)



พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์

             พระตำหนักดาราภิรมย์ สร้างขึ้นหลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าดารารัศมีทรงใช้พระตำหนักหลังนี้ปฏิบัติพระกรณียกิจอันเป็นคุณูปการทั้งทางด้านเกษตร และศิลปะวัฒนธรรม อาทิ ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมล้านนาให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวเหนือ ทรงสร้างสวนทดลองการเกษตรชื่อ สวนเจ้าสบายเนื่องจากทรงสนพระทัยในการเกษตรและทรงหวังที่จะช่วยการกสิกรรมของภาคเหนือ ทรงทดลองปลูกดอกกุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ที่ทรงได้จากสมาคมกุหลาบแห่งอังกฤษที่ทรงเป็นสมาชิกและพันธุ์ที่โปรดที่สุดเป็นกุหลาบดอกใหญ่สีชมพู กลิ่นหอมเย็น จึงทรงตั้งชื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แต่พระบรมราชสวามีว่า จุฬาลงกรณ์และก่อนสินพระชนม์ เจ้าดารารัศมีได้ทรงทำพินัยกรรมประทานที่ดินนี้เป็นมรดกแก่ทายาท ต่อมาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ซื้อที่ดินต่อจากทายาท โดยมีการมอบโอนกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้องในเวลาต่อมา เจ้าดารารัศมีเป็นเจ้าจอมที่เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมากองค์หนึ่ง เพราะนอกจากเจ้าดารารัศมีมีพระอัธยาศัยอันงดงามแล้ว ยังทรงเป็นผู้เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าพระบรมราชวงศ์จักรีกับดินแดนล้านนา ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดียังประโยชน์แก่อาณาจักรสยามเป็นอย่างยิ่ง

               พระตำหนักดาราภิรมย์ในพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเป็นมรดกล้ำค่าของแผ่นดิน ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับเกียรติเป็นผู้สืบทอดและพิทักษ์รักษา ด้วยตระหนักในภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้เอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเห็นสมควรที่จะต้องบูรณะพระตำหนักดาราภิรมย์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์งดงามใกล้เคียงกับสภาพเดิมเมื่อกาลก่อน เพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆระหว่างบรรพชนในอดีต กับอนุชนรุ่นหลังเพื่อให้ได้ทราบถึงพระปรีชาสามารถ และพระกรุณาธิคุณของพระราชชาบาเจ้าดารารัศมี ขัตติยนาผู้ทรงอุทิศพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อความวัฒนาสถาพรแห่งดินแดนล้านนา นอกจากนี้พระตำหนักดาราภิรมย์ยังเป็นพระตำหนักที่ประทับสุดท้ายที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงรักและผูกพันอย่างยิ่ง

               จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเห็นว่า พระตำหนักดาราภิรมย์อยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่สภาพอาคารยังมีความมั่นคงแข็งแรง มีรูปแบบอาคารที่ชัดเจน อาจใช้เป็นกรณีศึกษา อาคารที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกในประเทศไทย การบูรณะใช้แนวทางอนุรักษ์และเตรียมการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2541 ด้วยการรักษาส่วนประกอบของอาคารและรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้อันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาฯ เพื่อจัดตั้งแสดงและตกแต่งห้องต่างๆให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับอดีตมากที่สุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกลุ่มเจ้านายฝ่ายเหนือ พ่อค้า และประชาชนชาวเชียงใหม่ ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาคและเสาหาสิ่งของเครื่องใช้เพื่อจัดตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์

   ห้องต่างๆ ในพระตำหนักดาราภิรมย์

    ชั้นบน

   1. โถงทางเดิน จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระปฐมวงศ์ พระประวัติ พระตำหนักที่ประทับในพระราชชายาเจ้าดารารัศมีพระตำหนักดาราภิรมย์

   2. ห้องรับแขก จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย

   3. ห้องบรรทม จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย

   4. ห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องดนตรี

   5. ห้องจัดแสดงพระกรณียกิจ ด้านการศาสนา ด้านการเกษตร และด้านศิลปะศาสตร์

   6. ห้องจัดแสดงชุดเครื่องทรง ผ้าทอที่พระราชชายาฯทรงออกแบบลวดลายและส่งเสริมการทอ ชุดการแสดงที่พระราชชายาฯได้ทรงฟื้นฟูและทรงดัดแปลงศิลปะภาคกลางให้เข้ากับศิลปะภาคเหนือ

   7. ห้องสรง

  ชั้นล่าง

               จัดแสดงเครื่องมือเกษตร ที่ทรงใช้ในการทดลองการเกษตรแผนใหม่ ในสวนเจ้าสบาย นอกจากนั้นยังมีเครื่องทอผ้า ซึ่งใช้ทอผ้าสำหรับพระราชชายาฯโดยเฉพาะ

พระประวัติพระราชชายาเจ้าดารารัศมี

               เจ้าดารารัศมีประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2416 ณ คุ้มหลวงกลางนครเชียงใหม่ เป็นพระธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ทรงได้รับการศึกษาจากพระชนก-ชนนี ในเรื่องอักษรไทยเหนือและใต้เช่นเดียวกับกุลบุตรกุลธิดาในสมัยนั้น เมื่อเจ้าดารารัศมีทรงเจริญพระชันษาได้ 13 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าอินทวิชยานนท์จัดพิธีโสกันต์พร้อมกับพระราชทานเครื่องโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้เจ้าดารารัศมีทรงใช้ในพิธีอีกด้วย เมื่อเจ้าดารารัศมีได้ตามเสด็จพระบิดาซึ่งเสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีลงสรงและเฉลิมพระนามสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าดารารัศมีถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในในฐานะเจ้าจอม เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 เจ้าดารารัศมีมีพระราชธิดาพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสีแต่ทรงเจริญพระชันษาเพียง 3 ปีเศษก็ประชวรสิ้นพระชนม์ เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์พระบิดาถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีจึงทรงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จขึ้นไปเยี่ยมนครเชียงใหม่ เนื่องจากได้เสด็จมาประทับที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 22 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตอีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ จัดงานพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยยศเจ้าดารารัศมีจากเจ้าจอมมารดาขึ้นเป็นพระราชชายาเจ้าดารารัศมี แต่หลังจากที่พระราชชายาฯเสด็จกลับเชียงใหม่ได้เพียง 10 เดือนก็ต้องทรงประสบความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อมาพระราชชายาฯยังคงประทับ ณ พระตำหนักสวนฝรั่งกังไส พระราชวังดุสิต จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2457 จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จกลับนครเชียงใหม่ พระราชชายาฯทรงดำรงพระชนม์อย่างสงบสุข ณ พระตำหนักดาราภิรมย์อยู่หลายปีจนสิ้นพระชนม์ด้วยโรคปัปผาสะพิการ (โรคปอด) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ณ คุ้มรินแก้ว รวมสิริพระชันษาได้ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดงานพระศพเป็นงานพิธีหลวง พระอัฐิส่วนหนึ่งบรรจุไว้ที่พระกู่ วัดสวนดอกจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง อีกส่วนหนึ่งอัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัน เวลา เปิดพิพิธภัณฑ์

               วันอังคาร วันอาทิตย์ เวลา 9.0017.00 น. (วันจันทร์หยุดทำการ)

อัตราเข้าชมพิพิธภัณฑ์

               ผู้ใหญ่ 20 บาท

               เด็ก 10 บาท

               พระสงฆ์/นักเรียนในเครื่องแบบฟรี

พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (ในบริเวณค่ายดารารัศมี) โทร. 053 299 175

(คัดลอกจากเอกสารพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์)

(ที่มา : http://www.oceansmile.com/N/Chianmai/Darapirom.htm)



วัดพระพุทธบาทสี่รอย

ตํานานวัดพระพุทธบาทสี่รอย

 เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมและโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตประเทศ ( ประเทศไทยปัจจุบัน ) จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศชื่อ เขาเวภารบรรพตซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์และได้ แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จขณะประทับอยู่ที่นั้นก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ได้มีรอย พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินใหญ่ คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระ พุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นประธาน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่าพระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด พระพุทธองค์ตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้ แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ที่ ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ทุกๆพระองค์ และแม้นว่าพระศรีอาริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ และ จักรประทับรอยพระบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือ ประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว ) เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้วพระ องค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์จึงกําเนิดเป็นพระ พุทธบาทสี่รอย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นแล้วก็ทรงอธิฐานว่า ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนําเอาพระ ธาตุของกูตถาคมมาบรรจุไว้ที่รอยพระบาทที่นี่ ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว 2,000 ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงคนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิฐานและทํานายไว้ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จไป เชตวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีวันนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นําเอาพระธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธ บาทสี่รอยเมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงแล้วประมาณ 2,000 วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระ พุทธองค์ทรงอธิฐานไว้ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ ( เหยี่ยว ) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพตอันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ เพื่อบินลงไป เอาลูกไก่ชาวบ้าน ( คนป่า )ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปอยู่ยอดเขา มันก็โกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไป ค้นหาดูแต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก แต่เห็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทําการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่ บ้านก็เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟังความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆกันไปแรกแต่นั้นไปคนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมา จึงได้ชื่อว่า พระบาทรังรุ้ง ( รังเหยี่ยว ) ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่าพระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราช ศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอยก็นําเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นําเอาบริวารของตนกลับมาสู้ เมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชมบัติตราบเมี้ยนอายุขัยแล้ว ก็เจริญตามรอยและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอย ทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวก็เปลี่ยนชื่อเป็น" พระพุทธบาทสี่รอย " เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงลับมาแล้วในภัทรกัลป์นี้ คือ รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรกเป็นรอย ใหญ่ยาว 12 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นรอยที่ 3 ยาว 7 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ ( ศาสนาปัจจุบัน ) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กที่สุด ยาว 4 ศอก เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนคร เชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คนก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิมถ้า ใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปหรือปีนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้านรอบๆก้อนหินที่มีพระ พุทธบาทสี่รอยและได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้ ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไป กราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้มีพระราชศรัทธา ก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้หนึ่งหลัง หลังเล็กปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2472 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้า พระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สรางพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธบาทสี่รอยนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

คัดลอกจาก " คัมภีร์มหาพุทธมนต์จตุรพุทธา " ซึ่งพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ ในวาระทอดมหากฐิน ทาน ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย (ที่มา : http://stinp.tripod.com/2.htm)

ตำนานวัดพระพุทธบาทสี่รอย โดยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย

วัดพระพุทธบาทสี่รอยอ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นวัดที่มีปูชนียสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ ที่ล่วงเลยมาในภัทรกัปป์นี้ ตามประวัติโดยย่อ รอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ประทับอยู่ในก้อนหินก้อนใหญ่ ซึ่งเรียกว่าหินศิลาเปรต ต่อมามีพระพุทธเจ้ากกุสันธะ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทเหนือหินมหาศิลาเปรตเป็นรอยแรก ยาว 12 ศอก จากนั้นก็มีพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ มาโปรดอีก และได้ประทับรอยเป็นรอยที่สอง ยาว 9 ศอก รอยที่สาม คือ รอยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ยาว 7 ศอก และรอยสุดท้าย รอยที่สี่ คือ รอยของพระพุทธเจ้าโคตมะ ยาว 4 ศอก ค่ะ ตามตำนานก็เชื่อกันว่าเมื่อถึงยุคของพระศรีอริยะเมตไตรย์ ท่านก็จะเสด็จมาประทับรอยพระบาทซ้อนทับรอยพุทธบาททั้ง 4 นี้ รวมเป็นรอยพระพุทธบาทรอยใหญ่รอยเดียว

พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ได้รับการสักการบูชาจากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาหลายยุคสมัย และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เสมอมาล่าสุด ครูบาศรีวิชัย ได้มาสร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ในปีพ.ศ.2497 วัดพระพุทธบาทสี่รอยนี้ ยังได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากร มีประวัติเล่าขานถึงความเก่าแก่ จนนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

การเดินทางมาวัดพระบาทสี่รอย

จากตัวเมืองใช้เส้นทางสายเชียงใหม่ แม่ริม ระหว่างกิโลเมตรที่ 20-21 จะมีป้ายชื่อวัดพระบาทสี่รอยอยู่หน้าซอยฝั่งซ้าย บอกทางไปวัดอีก 31 กิโลเมตร ระหว่างทางเป็นทางลาดชันโค้งขึ้นเขาเกือบตลอดทางค่ะ มีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะๆไม่ต้องกลัวหลงค่ะ "วัดพระพุทธบาทสี่รอย" ตั้งอยู่ในหุบเขาป่าลึก เขต ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และจากตัวอำเภอแม่ริม จนถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย มีระยะทาง 50 กิโลเมตร

(ที่มา : พระครูพุทธบาทเจติยารักษ์ (พระครูบาพรชัย ปิยะวัณโณ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย) http://www.buddhabucha.net/index.php?option=com_content&view=article&id=53:2010-02-08-07-59-25&catid=43:qq-&Itemid=69



ประโยขน์จากน้ำผึ้ง


ประโยชน์ของ "น้ำผึ้ง"

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้ง เราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อน

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้ง เปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ ทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพักจะพบว่า มีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต

ประโยชน์ของน้าผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ

บำรุงสุขภาพ            น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน

อดนอน                   น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้

ยาอายุวัฒนะ            น้ำผึ้ง½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน

นอนไม่หลับ             น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน

ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ   กระเทียม 1-2 กลีบ(ตำละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3เกล็ด น้ำผึ้ง2 ช้อนโต๊ะ

ท้องอืด ท้องเฟ้อ       น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

ท้องผูก                   น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน

เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน

ท้องเสียรุนแรง          น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½  ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว

เด็กแหวะนม             น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม

กล้ามเนื้อเป็นตะคริว   น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร

ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง   น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล  หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่  เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล

แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย         ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง

โรคกระเพาะ            ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ)      น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร   น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

เด็กโตช้า และโลหิตจาง       น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ

เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20%)      น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ)     น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด
เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

Credit: www.thaiwomenshopping.com